นั่งคุยกับนิวแซน-ณดล อีกครั้งหลังอำลามงพ่อหมี และบทเรียนในวันที่ไม่เป็น People Pleaser อีกแล้ว

นิวแซน-ณดล ณ บางช้าง
คุยกันครั้งสุดท้าย: รายการ แม่บ้านชิงเธอ ออกอากาศ 10 กุมภาพันธ์ 2565
Platform: Modernist

ด้วยความที่รู้จักกันมานาน เราขอเรียกขานพ่อหมีตรงหน้าอย่างคุ้นเคยว่า พี่นิว

ทุกครั้งที่เราคุยกับเขาคนนี้ เราสัมผัสได้ถึงพลังงานดี พลังงานเชิงบวกจากเขาเสมอ เพียงแต่วันนี้ เราเห็นเขายิ้มกว้างกว่าเดิมมากจริงๆ เพราะเขาบอกว่า เขาไม่ต้องพิสูจน์ตัวเองอะไรกับใครอีกแล้ว และอยากใช้ชีวิตหลังจากนี้เพื่อรักตัวเอง รวมถึงได้ทำงานที่รักต่อไปอย่างมีความสุขทุกวัน

เราเห็นพี่นิวตั้งแต่สมัยทำละครเวทีที่เชียงใหม่ ไปจนถึงการตามฝันตั้งแต่ไปแข่งเรียลลิตี้โชว์ เกมโชว์ ก่อนข้ามเขตแดนไปเล่นละครในบทนักแสดงสมทบสุดๆ จนถึงวันที่มีบทบาทที่โดดเด่น สลับกับการเป็นวิทยากร เทรนเนอร์ และนายแบบพลัสไซซ์

จนมาถึงวันที่เขาลงประกวดเวทีสำหรับพ่อหนุ่มหุ่นหมีอย่าง Mr.Bear Bangkok 2024 ที่เขาคว้ามงกุฎมาได้อย่างไร้ข้อกังขา ก่อนจะไปต่อบนพื้นที่ระดับโลกในการประกวด Mr.Bear International 2024 ที่สุดท้ายเขาได้รางวัลรองชนะเลิศอันดับหนึ่งมาก็ตามที แต่พี่นิวบอกว่า เขาไม่ได้รู้สึกเสียใจ หรือเจ็บปวดกับผลที่ออกมา แถมยังสนุกและภาคภูมิใจในตัวเองมากๆ อีกด้วย

เส้นทางชีวิตของพี่นิวยังอยู่ๆ ในวงการนี้เหมือนที่เคย แต่ก่อนที่เราจะเห็นเขายิ้มกว้าง ร่าเริงในทุกย่างก้าว และเป็นทุกอย่างได้อย่างที่เราเห็นแบบนี้ เขาผ่านช่วงเวลาแห่งความกดดัน การตั้งคำถาม และการทำทุกทางเพื่อให้ทุกคนรอบตัวพึงพอใจ จนกลายเป็นบาดแผลที่กัดกินหัวใจของเขาเอง

เพราะเวที Mr.Bear Bangkok 2025 ได้ผู้ชนะแล้ว ก่อนเราจะไปยินดีปรีดากับจ่าฝูงคนใหม่ เราจึงใช้เวลานี้แวะมา “เยี่ยมญาติ” ของเราอีกสักครั้ง มานั่งอัพเดทถามไถ่ความเป็นไปของเขา และฟังเรื่องราวที่พบพาน รวมถึงแพสชั่นที่เขายังมีอย่างเหลือล้นในการใช้ชีวิตในก้าวต่อๆ ไป

ไม่ต้องเม้มปากเพื่อเป็นพรรคพวกก็ได้ เพราะตัวแทนเผ่ายินดีต้อนรับเราแล้ว

พี่ยืนยันสถานะของตัวเองมาตลอดว่าพี่คือ นักแสดงพลัสไซซ์ การวางตำแหน่งของตัวเองไว้แบบนี้ มันทำให้เรามีโอกาสหรือแต้มต่อยังไงบ้างในการทำแคสติ้ง หรือการประกวดแข่งขัน

พี่ว่าต้องแบ่งเป็น 2 อย่าง อย่างแรก-วงการบันเทิง เขาอาจจะระบุไว้ชัดเจนเลยว่าอยากได้คาแรคเตอร์แบบนี้ ทรงแบบนี้ ซึ่งพี่ได้บทนี้บ่อย เพราะว่าคนที่มีคาแรคเตอร์ชัด ต้องมีความมั่นใจด้วย มีทักษะการแสดง อาจจะไม่ได้มีเยอะในประเทศไทย เหตุผลส่วนตัวที่พี่เจอมาบ่อยก็คือ เขามีความรู้สึกว่าเขาไม่มั่นใจในรูปร่างของตัวเอง ซึ่งอันนี้มันส่งผลมาจากการใช้ชีวิตในสังคมปัจจุบันโดยทั่วไปอยู่แล้ว อย่างเมื่อก่อนเราก็จะโดนบูลลี่ว่า ไอ้อ้วน ไอ้เหม็นตัวอืด มันทำให้คนที่มีรูปร่างพลัสไซซ์รู้สึกว่าฉันเป็น Underdog ซึ่งสื่อปัจจุบันมันยังสื่อภาพเหล่านั้นไหม สำหรับพี่ว่ามันก็เป็นแบบนั้นอยู่แต่มันก็ดีขึ้น หมายถึงว่ามันทำให้เห็นในประเภทที่มันหลากหลายมากขึ้นว่าคนพลัสไซซ์ ก็เป็นคนเหมือนกัน เพราะฉะนั้นสำหรับพี่ ก่อนที่จะเข้ามาตรงนี้พี่ต้องพิสูจน์ตัวเองเยอะว่าฉันเป็นคนพลัสไซซ์ที่มีความมั่นใจ แต่ว่าในความเป็นจริงคนพลัสไซซ์ก็คือคน และทุกคนก็มีความแตกต่างของตัวเอง 

พี่พิสูจน์ตัวเองยังไง ที่ปลายทางคำตอบคือ ทำยังไงก็ได้ให้ได้งาน

พี่ว่ามันต้องพิสูจน์โดยที่ต้องทำให้คนรู้สึกชอบฉัน ถึงแม้ว่าฉันจะเป็นคนพลัสไซซ์เป็นคนหมี เป็นคนตัวใหญ่ เป็นคนอ้วน อะไรก็ตาม ต้องทำให้คนชอบฉั มากกว่าโดยปกติ แล้วก็ต้องยืนหยัดในสิ่งที่เราคิดมากๆ มากจนบางทีมันล้น คนทั่วไปใช้ชีวิตก็คือมั่นใจ กินข้าวแล้วมีความสุขจังใช่ไหม แต่เหมือนเราต้องแสดงออกเยอะกว่าคนปกติ ต้องหาสปอตไลท์ให้ตัวเองตลอดเวลา ซึ่งเราวัดความมี Self-Esteem (การเคารพตัวเอง) ของเราจากคำพูดเหล่านี้ของคนเยอะ

มันก็คือการยอมรับแบบมีเงื่อนไขชนิดหนึ่ง เหมือนเราบอกกลุ่ม LGBTQ+ ว่า เป็นอะไรก็ได้แต่ต้องเป็นคนดี 

มันเป็นเหมือนกันเลย คนพลัสไซซ์ก็ขอให้มั่นใจ ให้ดูเซลฟ์มากๆ เลย มันกลายเป็นแบบนั้นไป

แล้วพี่รู้สึกโดนกดทับจากอะไรเหล่านี้บ้างไหมคะ

พี่โดนกดทับเยอะมาก ตัวอย่างที่เห็นชัดมากที่สุดเลยคือวงการบันเทิง พี่รู้สึกว่าการเป็นคนอ้วน เป็นคนตัวใหญ่ จะโดนกดให้อยู่ในกรอบความตลกเสมอ ต้องเป็นตัวเสริมอยู่เสมอตลอดเวลา พี่เลยรู้สึกว่ามันค่อนข้างกดทับ แล้วมันทำให้เวลาที่พี่ไปแสดง พี่ต้องพิสูจน์ตัวเองเยอะกว่าคนอื่นมันจะมีหลายครั้งมากเลยที่พี่ไปแสดง แล้วเราจบแมสคอม (คณะการสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่) เมเจอร์ทีวีมาแต่เราก็ได้แสดง ได้เล่นขยับปีก (ละครเวทีประจำของคณะการสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่) ได้ทำละครเวที พอเราแสดงได้ดี แทนที่เขาจะบอกว่าคุณเป็นนักแสดงที่ดีมากเลยนะ เขาก็จะพูดว่า ขนาดพี่อ้วน ขนาดพี่ตัวใหญ่ พี่ก็ยังแสดงได้ดีเลยนะ เราก็เลยต้องพิสูจน์ตัวเองมากๆ แล้วก็อะไรแบบนี้มันกดทับ ต้องพิสูจน์ตัวเองเยอะเพื่อให้ชนะหรือก้าวข้ามรูปลักษณ์ที่เรามี

การเข้ามาแคสงานในบริบทของพี่ มันจะถูกจำกัดตัวบทโดยอัตโนมัติอยู่แล้ว แต่ถ้าเลือกได้ พี่อยากเล่นบทอะไรคะ

พี่เป็น Sidekick (ลูกคู่) เป็นตัวเสริมตลอดเวลา ถ้าเป็น Frozen ก็จะเหมือนโอลาฟ พี่รู้สึกว่าเราควรก้าวข้ามจุดนี้ไปได้แล้ว เราควรมีตัวละครหลัก มีบทนำที่เป็นคาแรคเตอร์ที่มันหลากหลายได้แล้ว มันควรจะเป็นใครก็ได้แล้ว  ไม่ว่าคุณจะเป็นอะไรก็ตาม หรือรูปร่างไหนก็ตาม เราควรเปิดกว้างมากขึ้น ซึ่งเราเห็นตัวอย่างปกติก็คือฮอลลีวูดและเกาหลีก็เริ่มเป็นแบบนั้นมากขึ้น เราจะเห็นคนเล่าเรื่องหรือว่าตัวเองของเรื่องนี้เป็นคุณป้า เป็นแม่บ้าน ซึ่งมันแตกต่างกว่าการที่พระเอกหล่อ พระเอกผมสั้น นางเอกผมยาว ตัวร้ายมีหนวด มันค่อนข้างคลิเช่ ถ้าพี่อยากเล่น พี่อยากเล่นบทนำที่มีความแตกต่างในบทที่เคยเล่นบ้าง อยากเล่นสยองขวัญ อยากเล่นดราม่า อยากเล่นอะไรที่มันหลากหลายขึ้น

หลายๆ ครั้งพี่ชอบโพสต์บนหน้าเฟซบุ๊กถึงตัวละครที่ได้เล่น เล่าให้ฟังหน่อยได้ไหมคะว่าพี่ภูมิใจแค่ไหนกับบทบาที่ตัวเองได้รับ

พี่รักทุกคาแรคเตอร์เพราะว่าพี่รักการแสดงมาก วันนึงอยากเป็นนักแสดงเพราะรู้สึกว่าเราอยากแสดง ก็เลยเริ่มมาทำละครเวที พี่ว่าการที่เรารักมันมาก บวกกับการที่เรามาทำละครเวที การทำละครเวทีมันต้องมีการพัฒนาตัวของเรากับตัวละครค่อนข้างเยอะ เพราะฉะนั้นเวลาที่พี่ได้บทมา พอมันเป็นทีวีซีรีส์ พี่จะทำการบ้านกับมันเยอะมาก พี่จะไปใช้ชีวิตกับตัวละครด้วย ซึ่งบางทีมันรู้สึกว่ามันเป็นเทคนิคที่ไกลตัวจัง ไม่ต้องทำขนาดนั้นก็ได้มั้ง แต่พี่รู้สึกว่าฉันมีความสุขที่ฉันอยากทำ เวลาเราได้บทมาแล้วเราเต็มที่กับมัน เช่น พี่ขับรถไม่เป็นเลย แต่ว่าตัวละครต้องขับรถได้คล่อง พี่ก็ไปเรียนขับรถจนรู้สึกว่าเรารักมันมากเลย เพราะทั้งชีวิตเราไม่เคยขับรถเลย อยู่ดีๆ วันนึงจะขับรถเพราะว่ามาเล่นเป็นตัวละครนี้ แสดงว่าสิ่งนี้มันต้องสำคัญนะ ก็เลยรู้สึกว่าเราทุ่มเทกับตัวละครเยอะ แล้วก็เป็นเขาให้ได้มากที่สุดด้วยการที่ใช้พาหะเป็นร่างเรา มันก็สนุกดี 

พูดถึงการที่พี่นิวลงประกวด Mr.Bear Bangkok เตรียมตัวยังไงทั้งในเชิงของการเตรียมตัวไปประกวดแบบปกติ และในเชิงทัศนคติ 

พี่เป็นคนมีแพสชั่นหลายอย่างมาก แล้วหนึ่งในนั้นก็คือการประกวด Pagent แล้วพอเห็นประกาศรับสมัครก็เลยรู้สึกว่าเราอยากทำ ไม่ได้คิดด้วยว่าจะได้ที่ 1 มั้ย แต่คิดว่าทุกครั้งที่เราไปทำ เราจะต้องได้เดิน จะต้องได้พูดในสิ่งที่เราคิด ต้องได้ตอบคำถาม ได้เจอเพื่อนใหม่ๆ ก็คือความสุขแล้ว แล้วเราเป็นคนที่เต็มที่กับทุกวัน พี่เป็นคนถือคติว่าทุกวันต้องได้พูดคำว่า I Live ฉันได้ใช้ชีวิตแล้ว เพราะฉะนั้นวันนี้นัดกองกัน ต้องมาเล่นกีฬาสี ก็จะเล่นให้เต็มที่ มาซ้อมเดินนะ ก็ซ้อมให้เต็มที่ แต่ไม่ต้องกดดัน สนุกกับมัน

พี่เคยเป็นคนที่กดดันมากจนแบบนอนไม่หลับ ผมร่วง เป็นคนแบบนั้นมาก่อนแล้วรู้สึกว่ามันไม่ Healthy เลย ต่อให้งานมันออกมาดีแต่ว่าเราไม่มีความสุข สุขภาพเราก็ไม่ดี แต่วันนึงที่เราแค่ลองสนุกกับมันซิ เราแค่เต็มที่แต่สนุกกับมัน มันกลับกลายเป็นว่าคนรอบข้างก็บอกว่าดีขึ้น ผลงานก็ออกมาดี ก็เลยรู้สึกว่าสนุกกับมันให้เต็มที่มันสำคัญมาก อันนี้คือมายเซ็ทอย่างนึงที่เตรียมตอนไปทำสิ่งนี้ด้วย

ในกองประกวดเป็นยังไงบ้างคะ

สนุกสนานครับ เพราะว่าเพื่อนทุกคนมาด้วยความจอย มันเหมือนกลับไปอยู่ตอนประถม มัธยม แต่พี่เจ็บปวดกับตัวเองมาก เพราะว่าเราเตรียมตัวไปแล้ว ทักษะเราได้มากๆ แล้วเราก็ไปด้วยความรู้สึกว่า เราอยากจะสนุกให้เต็มที่ พอไปถึงตรงนั้นจริงๆ มันก็ยังติดอะไรเดิมๆ ของตัวเองอยู่ เช่น ติดความคิดว่า เราต้องทำให้มันดีนะ แล้วพี่ว่าช่วงตอนประกวดในประเทศ ตอนที่แข่งก็ได้ที่ 1 นะ แต่พี่ว่าตอนนั้นมันเป็นเหมือนตัวปูให้พี่ไปเวทีใหญ่มากกว่า เพราะเพื่อนด้วยกันที่คอยซัพพอร์ต หรือทีมอะไรต่างๆ ทุกคนเข้ามาแล้วสะกิดถามว่า เธอไปทำอะไรมา ทำไมเธอดูเป็นคนใหม่ที่เฟรชมากขึ้นและดูสนุกมากเลย เธอไม่กดดันเลย พี่ก็บอกว่า ตอนอยู่เวทีประเทศ มันทำให้พี่ได้บทเรียนชีวิต (เน้นเสียง) บทเรียนชีวิตเลยนะ ไม่ใช่แค่บทเรียนการประกวดนะ บทเรียนชีวิตของพี่แบบมากๆ

การที่พี่ได้มาซึ่งบทเรียนนี้ จุดเปลี่ยนคืออะไรคะ

มันคือวันหนึ่งที่ที่ประกวด Mr. Bear Bangkok แล้วพี่ได้ที่ 1 ด้วยความที่กดดันและเจ็บปวดกับตัวเองมาก พี่กลับบ้านโดยที่กำลังนั่งรถอยู่ ก็ดีใจกับตัวเองนะ แต่มันมีความคิดแว๊บนึงเข้ามาว่า แล้วยังไงต่อ ถ้าสมมุติว่าฉันได้ที่ 1 อินเตอร์ต่อ แล้วยังไงต่อ เราจะไปประกวดต่อเหรอ หรือว่าเราจะทำอะไรต่อ ก็เลยเหมือนจับจุดได้ว่าพี่ว่าพี่กดดันกับตัวเองเพราะพี่เอามาตรวัดความภาคภูมิใจของตัวเอง หรือมาตรวัดว่าแพสชั่นนี้ทำสำเร็จไหมด้วยการที่เอาตัวเองลงไปอยู่ในการแข่งขันตลอดเวลา พี่แข่งขันตลอดเวลามาตั้งแต่เด็ก พี่แข่งสุนทรพจน์ แข่งครอสเวิร์ด แข่งวิ่ง แข่งเกมโชว์ 70 รายการเหมือนเป็นการพิสูจน์ตัวเองว่าฉันไปแล้วฉันได้แจ็คพอต คือเจ๋ง เห็นไหม  ฉันเก่ง ฉันเอาตัวรอดในสถานการณ์แบบนี้ เล่นโชว์ไหวพริบได้ มันทำมาตลอดเวลาจนอายุ 34 ปี พอเราได้ตรงนี้ปุ๊บมันเลยรู้สึกว่า แพสชั่นต่อไปของเราจะเป็นอะไร

พี่ว่าพอพี่เจอแพสชั่นต่อไปในชีวิต มันเลยทำให้ความคิดกับพฤติกรรมพี่เปลี่ยน พี่พูดกับตัวเองว่าพี่จะไม่ประกวดอะไรแล้ว ตั้งแต่วันนั้นที่จบ Mr.Bear International จนถึงวันนี้ พี่ไม่ได้ประกวดอะไรเลย และต่อไปนี้จะไม่ประกวดด้วย เพราะว่าพี่รู้แล้วว่าการประกวดของพี่มันสร้างความกดดันให้กับพี่ พี่อยากออกไปแล้วทำงานศิลปะของตัวเอง นั่นคือที่มาที่พี่จะทำคอนเทนต์ของตัวเอง ซึ่งมันจะต่างกับตอนที่เราแข่งมาก เวลาเราแข่งเราต้องปรับตัวเองให้เข้ากับบริบทของเวที เราไปแข่งเรียลลิตี้ต่างๆ รายการนี้ต้องการคนแบบหนึ่งๆ เราก็เลยเข้าใจว่า อ๋อ เราเป็นแบบนี้มาทั้งชีวิต แล้วมันก็ทำให้เราหาตัวตนไม่เจอ เพราะว่าเราปรับไปเรื่อยๆ ทุกเกม ทุกการแข่งขัน โอเค เรารู้แล้วว่าต่อไปนี้ เวทีสุดท้ายที่จะแข่ง เราอยากจบมันแบบสนุก พี่ก็เลยไปทุกวันแบบสนุก เพราะว่านี่คือสิ่งที่เราอยากทำจริงๆ หน้าตา รสชาติ หรือความรู้สึกมันเป็นแบบนี้นี่เอง

แล้วพี่เตรียมตัวยังไง หรือการเตรียมตัวคือ ไม่เตรียมตัว

การเตรียมตัวของพี่คือการเตรียมตัวทุกอย่างที่เป็น Checklist ที่ทำได้เร็วที่สุด แล้วสมมุติว่าเรารู้อยู่แล้วว่าเราต้องเตรียมสูท เราต้องเดินชุดว่ายน้ำนะ เพราะฉะนั้นเราต้องมีร่างกายที่เฟิร์มมากขึ้นนิดนึง มีการเตรียมรองเท้า Accessories เตรียมชุด เวลาเข้ากองไปทำกิจกรรม พี่รีบเตรียมให้เสร็จเร็วมากเลย หลังจากนั้นพี่ไม่คิด พี่ไปทำอย่างอื่นเลย เพราะพี่รู้ว่าถ้าพี่จมจ่ออยู่กับมัน เดี๋ยวพี่จะเครียดแล้วก็กดดันตัวเอง

ซึ่งพี่ดูเตรียมตัวเยอะและเข้มข้นมาก แต่ทำไมพี่ไม่คาดหวังกับผลลัพธ์เลย

พี่ไม่คาดหวังเลยเพราะว่า ตอนที่พี่ได้ที่ 1 ของเวทีในประเทศ พี่ไม่ได้มีความสุขกับมัน เพราะพี่เอามาตรวัดไปวัดตรงที่ฉันได้มงหรือไม่ได้มง พอมาตอนเวทีใหญ่ ความคาดหวังของพี่ไปอยู่ที่ว่า เส้นทางของพี่ที่นี่มันจะต้องสนุกและน่าจดจำ มันไม่ได้อยู่ที่ว่าฉันต้องได้ที่หนึ่งอินเตอร์ แล้วพอพี่ได้ที่สอง มันกลับกลายเป็นว่าพี่มีความสุขมากกว่า แล้วก็รู้สึกภูมิใจในตัวเองมากกว่า มี Self-Esteem มากขึ้นจากวันนั้นจนถึงวันนี้   พี่เลยรู้แล้วว่า อ๋อ การที่เราเอาเป้าไปตั้งที่ถ้วย ที่มง แต่ตลอดทางไม่มีความสุข ก็ไม่ใช่ชีวิตเราอยู่ดี 

แล้วพี่ก็ดูไม่เซ็งกับผลการตัดสินที่ออกมาเลย

(ตอบทันที) ไม่เซ็งเลย และรู้สึกว่ามันเป็นการแข่งขันที่น่าจดจำมากสำหรับพี่ มากกว่าตอนเวทีในฯ ด้วยสำหรับพี่ เพราะมันสนุก แล้วก็ไม่อยากกลับไปแก้อะไรเลยสักวินาทีเดียว แต่ถ้าถามตอนเวทีในฯ จะบอกว่ากลับไปแก้ รู้สึกอยากสนุกกับมันมากกว่านี้ แสดงว่าเราให้ความสำคัญกับความสนุกมากๆ  แต่เราลืมมันไป

คิดว่าวันนี้ยังต้องพิสูจน์ตัวเองอะไรกับใครอีกไหมคะ

มีคนเดียวคือ ตัวเอง พี่จะพิสูจน์กับตัวเองว่า ฉันเปลี่ยนได้ ฉันทำได้ จากที่ฉันแข่งมาตลอดแล้วฉันจะทำของตัวเอง ฉันทำได้ เหลืออันเดียวที่จะพิสูจน์อันสุดท้ายก็คือตัวเอง

แล้วการประกวดแข่งขันตลอดหลักสิบปีที่ผ่านมา มันพิสูจน์อะไรในตัวพี่บ้าง

หลายอย่างมาก อย่างแรกที่ดังขึ้นมาในหัวเลยคือพี่พิสูจน์ว่า การแข่งขันทำให้ฉันเก่ง เพราะการแข่งขันมันจะต้องมีชนะหรือแพ้ ที่ 1 หรือที่ 2  ได้รางวัลหรือไม่ได้รางวัล พี่เลยรู้สึกว่าตลอดเวลาที่พี่ทำมามันเหมือนการพิสูจน์ตัวเองว่ามันต้องเก่งนะ อย่างที่สองคือ การที่ฉันเป็นที่รัก เพราะว่าเวลาที่เราถูกเลือก หรือเวลาที่เราได้อยู่ในฝูงชนแล้วมีคนเห็น มีคนเรียกเรา มันเป็นการพิสูจน์ว่าฉันถูกรัก แต่ทั้งหมดทั้งมวลนี้มาจบที่อย่างสุดท้ายที่พี่เพิ่งตกตะกอนกับตัวเองหลังจากที่ประกวดเวทีใหญ่เสร็จคือ การที่ต้องพิสูจน์ว่าตัวเองเป็นคนดี พี่เป็น People Pleaser (คนที่พยายามตามใจคนอื่นเพื่อแสวงหาการยอมรับ) คือ ลองคิดภาพว่าคนที่เขาอยู่บนเวที แล้วทุกคนปรบมือ มีสปอตไลท์ คนนั้นมักจะเป็นคนดี หรือว่าคนที่ทุกคนชื่นชมจังเลย คนนั้นมักจะเป็นคนดี พี่เลยรู้ว่า พี่เรียกร้องหาการพิสูจน์ตัวเองว่าฉันเป็นคนดีนะ ที่คนรู้สึกรัก แล้วมันเป็นระดับมหภาคคือ ฉันอยู่ในเวทีระดับประเทศที่ทุกคนรักฉันมากเลย คนมองว่าฉันเป็นคนดี นั่นแหละ แล้วพี่ก็ไม่ประกวดเลย เพราะรู้สึกว่าฉันต้องเลิกเป็นคนดี 

People Pleaser มันกัดกินฉันมาก สิ่งที่ฉันควรจะทำมากๆคือ ฉันไม่ต้องพิสูจน์ว่าฉันเก่ง ฉันไม่ต้องพิสูจน์ว่าฉันเป็นที่รัก ฉันแค่รักตัวเอง แล้วก็ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบมาก ทำผลงานนี้ออกมาแล้วชอบฉิบหายเลย มันดีจังเลยวะสำหรับตัวเอง พี่ว่าอันนี้เป็นสิ่งที่พี่กระหายตอนนี้และอยากจะทำ

การเป็น People Pleaser มันกัดกินพี่ขนาดไหน

กัดกินแบบต้องพบจิตแพทย์ ระดับนั้นเลย ไม่มีความสุขเลย เมื่อวานตื่นมายิ้มทุกอย่าง กลับบ้านมานั่งร้องไห้ เป็นแบบนั้นเลย มันก็เลยทำให้รู้สึกว่าสูญเสียตัวตนไป พี่เปิดดูคลิปนึงของน้องๆ ที่เป็นเหมือนกรุ๊ปไอดอล เขาก็พูดเหมือนว่า ฉันสูญเสียตัวตวนไปแล้ว พี่ดูแล้วแบบว่า ฉันเป็นแบบนี้แน่ๆ เลย การเป็น People Pleaser มันทำให้ตัวตนฉันหายไป ไม่มีความสุข ร้องไห้บ่อยมาก เป็นแพนิคบ่อยมาก แล้วก็กลัวตาย มันกลัวเพราะว่าฉันยังไม่ได้ใช้ชีวิตแบบที่ฉันอยากใช้แต่ไม่ต้องเอาใจคนเลย พี่ไปค้นต้นตอของมันว่า ที่ฉันกลัวตายเป็นเพราะว่าฉันอยากใช้ชีวิตแบบที่ฉันอยากใช้แต่ปรากฏว่าฉันไปเอาใจคนอื่น ฉันก็เลยมีอาการกลัวตาย พี่ก็เลยรู้สึกว่า เลิกเถอะ ก็เลยต้องเริ่มในแต่ละวัน เริ่มหาอะไรที่ตัวเองอยากทำมากขึ้น ปฏิเสธมากขึ้น แล้วก็ใช้เวลากับสิ่งที่เราอยากทำจริงๆ มากขึ้น โดยที่ไม่ต้องไปพิสูจน์อะไรใคร ต้องทำให้คนชอบ

ชีวิตเบาขึ้นไหมคะ

เบามาก มันเปลี่ยนเป็นคนละคนเลย มันใช้ Energy คนละแบบ เหมือนเราเคยใส่ถ่านชนิดนี้แล้วมันจะให้ผลลัพธ์แบบนี้นะ แล้วพอวันนึงเปลี่ยนเอาถ่านก้อนนั้นออก ไปใส่ถ่านก้อนใหม่ที่มันเบาและให้พลังงานเยอะกว่า เป็นคนละแบบเลย ไม่ต้องพิสูจน์อะไรกับใครว่าฉันดีไหม ฉันต้องอย่างนั้นอย่างนี้ ถ้าเป็นเมื่อก่อน เราทำอย่างนี้ไม่ได้หรอก

การเกิดใหม่ในวัยนี้ของพี่ สะท้อนอะไรในชีวิตพี่บ้าง

พี่ว่าเราต้องมี Self-Awareness (การตระหนักรู้ตัวเอง) สำคัญมากในทุกๆ คน ไม่ว่าอายุเท่าไหร่ก็ตาม ขอแค่รู้ว่าเราต้องการอะไรในวันนี้ และมีความกล้าที่จะทิ้งอะไรบางอย่าง หรือว่าวางมันไว้ แล้วก็ไปในทิศทางใหม่ ซึ่งพี่คิดว่าบทเรียนนี้มันเอาไปใช้ได้กับทุกอย่าง วันนี้ถ้าคุณยังประกวดอยู่ ก็ไปใช้ได้ คุณมีความฝันอยากทำอะไรสักอย่างก็เอาไปใช้ได้ ก็รู้จักตัวเองเยอะๆ แล้วก็กล้าที่จะเป็นตัวเอง

ถ้าวันนี้พี่ไม่ได้ลงประกวด Mr.Bear พี่คิดว่าชีวิตของพี่จะเป็นแบบไหน

ถ้าเอาความจริงเลย พี่ว่าพี่อาจจะก็ยังหาตัวเองอยู่ก็ได้ พี่โชคดีมากที่การประกวด Mr.Bear มันเหมือนเป็นหลักสูตรเร่งรัดให้พี่รู้จักตัวเอง แล้วมันก็เหมาะสมที่จะเป็นการประกวดครั้งสุดท้ายที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตพี่ เพราะมันให้บทเรียนที่สรุปทิศทางในชีวิตพี่ได้มากๆ เพราะฉะนั้นมีน่ะดีแล้ว เพราะว่ามันทำให้พี่เป็นพี่ทุกวันนี้ แล้วก็พร้อมจะไปต่อในซีซั่นถัดไปของชีวิตที่พี่เห็นก็ตื่นเต้นแล้ว ก็รู้สึกว่ามันน่าจะเจ๋ง 

แพสชั่นในการใช้ชีวิตของพี่ในวัยนี้คืออะไร

พี่ว่าแพสชั่นของพี่เปลี่ยนตลอดชีวิต แต่แพสชั่นของพี่วันนี้กับอีก 10 ปีข้างหน้าอาจจะไม่เหมือนกันก็ได้นะ แต่แพสชั่นวันนี้ของพี่คือ การที่ได้สนุกกับการสำรวจความเป็นตัวเองจริงๆ เพราะพี่อยู่กับการที่ต้องพิสูจน์ตัวเองตลอดเวลา ด้วยเพศสภาพด้วย ด้วยรูปร่างด้วย เราก็ต้องพิสูจน์มันมาตลอดเวลา วันหนึ่งเรารู้สึกว่าเราเป็นเพศอะไรก็ได้ เราเป็นรูปร่างไหนก็ได้ ตอนนี้เราจะเข้าสู่การเป็นเด็กเกิดใหม่ที่ได้สนุกกับการค้นหาตัวเองมากๆแล้ว ซึ่งพี่รู้สึกว่าทุกคนเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ วันนี้คุณอาจจะ 30 ถ้า 40-50 หรือว่าอะไรก็ตาม ถ้าคุณเริ่มเอ๊ะกับตัวเองว่า ที่เราทำมาทั้งหมดมันเป็นการพิสูจน์ตัวเอง เพื่อสร้างความภูมิใจจากการที่โดนกดทับอะไรบางอย่างหรือเปล่า ก็แค่เปลี่ยนมุมมอง แล้วก็เริ่มต้นใหม่ได้เสมอครับในการภาคภูมิใจกับตัวเอง ด้วยการลงมือทำในสิ่งที่ที่ตัวเองอยากทำ

About Storytellers

ทำประเด็นด้านสิทธิมนุษยชนเป็นงานหลัก มีครีเอทีฟเป็นงานรอง รับจ้างเขียนหนังสือเป็นงานเสริม เลี้ยงหมาชื่อปิ๊ดปี๋เป็นงานอดิเรก ทำแมกกาซีนออนไลน์เป็นงานเลี้ยงแพสชั่น และกำลังจะได้กลับไปสอนหนังสืออย่างที่เคยหวังไว้

ช่างภาพอิสระ ... อิสระจากความมั่นคงทางรายได้